จากกรณีร้านลูกไก่ทอง และร้านปังชา ออกประกาศชี้แจง กรณีที่ก่อนหน้านี้แบรนด์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าชื่อเมนู ปังชา จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2566 นายนิว เจ้าของร้านขายขนมปังปิ้ง-ชา เครื่องดื่มอยู่ที่จ.เชียงราย เปิดเผยกับว่า… ปัจจุบันร้าน “ปังชา” ของตนเองมี 2 ร้าน
ร้านแรกอยู่ในฟู้ดคอร์ทในห้างดังเชียงราย และมีอีกร้านเล็กๆ อยู่ในตัวเมืองเชียงราย อยู่ริมถนน มีประมาณ 30 โต๊ะได้ โดยเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา ตนเองได้รับหนังสือโนติสจากสำนกงานทนายฯ ว่าร้านของตนได้ละเมิดเครื่องหมายทางการค้า โดยการใช้ชื่อร้านว่า ปังชา หรือใช้ชื่อเพจว่าปังชาในการค้าขาย
พร้อมให้ตนไปชำระค่าเสียหายจากการละเมิดชื่อทางการค้า 102 ล้านบาท และหากเกิน 7 วัน ยังไม่ชำระหรือทำการเพิกเฉย มีบวกค่าปรับอีกวันละ 1 หมื่นบาทต่อ 1 ร้าน นายนิว เปิดใจอีกว่า แรกเริ่มเดิมทีตนตั้งใจเปิดร้านขายขนมปังปิ้งกับชาริมถนน และเปิดร้านมาตั้งแต่ปี 2564 ส่วนการตั้งชื่อก็ตรงตัวตามชื่อเมนูภายในร้าน จึงกลายมาเป็นร้าน “ปังชา”
ยืนยันไม่มีเจตนารมณ์ไปลอกเลียนแบบใคร อีกทั้งร้านตนยังไม่ได้ขายน้ำแข็งใสด้วย ขณะเดียวกันตอนเปิดร้านแทบไม่ทราบด้วยซ้ำ อีกทั้งมองว่าร้านทั่วๆ ไปที่ขายชาก็คงไม่พ้นการตั้งชื่อร้านที่มีคำว่า ชา อาทิ ชงชา ชิมชา ชิลชา เป็นต้น นายนิว กล่าวอีกว่า… หลังจากได้รับหนังสือโนติส ทำให้เครียดมากนอนไม่หลับมาเป็นเดือนแล้ว ได้แต่สงสัยว่าเราผิดอะไร
ตนคิดมากไปถึงว่าคงต้องถึงขั้นล้มละลาย หรือแม้กระทั่งจะต้องไปหย่ากับภรรยา เพราะไม่อยากให้ครอบครัวมารับผลกระทบด้วย หลังจากที่ตนได้รับหนังสือโนติส จึงไปเปลี่ยนชื่อร้านที่อยู่ภายในห้าง เพราะกลัวว่าจะมีผลกระทบในอนาคต จึงต้องแจ้งเปลี่ยนชื่อและมีค่าใช้จ่ายในส่วนนั้น แต่ที่น่าเสียใจคือตนคงไม่มีโอกาสจะได้โฆษณาร้านอีกต่อไปแล้ว เพราะร้านเปลี่ยนชื่อไปแล้ว ยอดขายตอนนี้ก็เลยตกลงไป ตนก็จำเป็นต้องปล่อยไปตามนั้น
“ผมไม่หวังอะไรมาก ขอแค่ให้ได้กลับมาขายของปกติ แค่นั้นก็ดีใจมากแล้ว ตอนแรกนึกว่าอาจจะต้องปิดร้าน แต่ตอนนี้กระแสเริ่มตีกลับ ก็เริ่มมีหวังเช่นกัน ยืนยันไม่ได้ทราบเรื่องกฎหมายว่ามีการคุ้มครองคำว่า “ปังชา” เป็นชื่อร้านหรือไม่ แต่รู้แก่ใจดีว่าไม่ได้ลอกเลียนมา และร้านเปิดมาตั้งแต่ปี 2564 แต่ทางคู่กรณีเพิ่งจดเครื่องหมายทางการค้าได้เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมานี้เอง”
นายนิว กล่าวว่า หลังจากเริ่มมีการเสนอข่าวตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค. 2566 ก็มีทนายยื่นมือเข้ามาช่วย ตนอยากจะขอบคุณทนายโลมา และขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมผู้เสียหาย เบื้องต้นตอนนี้มี 3 ร้าน นั่นคือร้านตนเองถูกเรียกค่าเสียหาย 102 ล้านบาท ร้านที่หาดใหญ่ถูกเรียกค่าเสียหาย 7 แสนบาท และอีกร้านหนึ่งตนเองไม่ทราบว่าถูกเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ ทางทนายให้ความเห็นว่าน่าจะสู้ได้ อยู่ระหว่างที่ทนายกำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ ขณะเดียวกันตอนนี้ตนยังไม่ได้รับการประสานจากฝั่งคู่กรณี ได้รับเพียงแค่จดหมายโนติสเท่านั้น
สุดท้ายนี้หากว่าตนเองต้องเสีย 102 ล้านจริงๆ ก็คงไม่มีให้ คงต้องปิดกิจการและล้มละลาย ตนเองทำใจไว้แล้ว หากกฎหมายคุ้มครอง และบอกว่าตนเองผิด ไปละเมิดจริง ก็ยินดีน้อมรับ และตนเองก็คิดมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่องว่า หรือว่าตนควรเปลี่ยนชื่อร้านเป็นชื่ออื่น แต่ก็เสียดาย เพราะตนเองสร้างมันมาด้วยสุจริตใจ แล้วอยู่ ๆ ร้าน “ปังชา” ของเราต้องเปลี่ยนเป็นชื่ออื่น ไม่รู้ว่าลูกค้าจะเข้าใจเราหรือไม่ และตอนนี้ก็ยังไม่กล้าเปลี่ยนเพราะกลัวกระทบกับยอดขายเท่านั้นเอง