เรียกได้ว่าเป็นนักแสดงรุ่นเดอะในตำนานก็ว่าได้ สำหรับ ป้าจิ๊ อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ ที่วันนี้กลับมาโลดแล่นบนหน้าจออีกครั้ง งานนี้เจ้าตัวบอกเลยเคยน้อยใจวงการบันเทิง เพราะไม่มีงานจนถึงขั้นอยากทำละครเล่นเองไปเลย พร้อมเผยชีวิตอยู่คนเดียว ไม่เป็นภาระใคร เตรียมตัวตาย เขียนพินัยกรรมไว้หมดแล้ว ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องวัน31 ที่มีเบนซ์ พรชิตา และบูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
เราไม่เห็นป้าจิ๊อยู่บนหน้าจอทีวีพักนึงเลย แต่ล่าสุดกลับมาเล่นละคร?
ป้าจิ๊ : เรื่องพระนคร 2410
ห่างหายไปกี่ปี?
ป้าจิ๊ : ก็ห่างนานพอสมควร 9-10 ปีมั้ง
ต้องมาเคาะสนิทไหม?
ป้าจิ๊ :ไม่ต้องเคาะค่ะ เพราะชีวิตประจำวันก็เหมือนเล่นละครอยู่แล้ว
ตอนทีมงานละครติดต่อมารู้สึกยังไงบ้าง?
ป้าจิ๊ : ตอนนั้นอยู่ที่สตูดิโอโยคะ เจอคุณธงชัย ประสงค์สันติ เขาบอกว่าเดี๋ยวไว้เล่นละครกับผมนะครับ ป้าก็บอกว่าได้เลย เพราะธงชัยกับป้าจะคุ้นเคยกันสนิทกันมาก แล้วตอนหลังก็มีคนติดต่อมาอีกที เขาถามว่าเรื่องค่าตัวยังไง ป้าก็คิดถึงธง เขาอุตส่าห์เรียกร้องให้ไปเล่นก็เหมือนเป็นเพื่อนเรา แล้วในยามที่หายไปนาน
ฉันเป็นนักแสดงเหรอเนี่ย ไม่ใช่มั้ง ป้าเลยคิดถึงธง เล่นก็เล่น พอเรียกค่าตัวป้าก็เรียกเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แล้วเราไม่รู้เลยว่าช่องจ่ายไม่ใช่ธงจ่าย แต่ไม่เป็นไรมันเป็นสิ่งที่เรารักแล้วคิดว่าเราอยากทำให้เพื่อนเรา ซึ่งเป็นเพื่อนที่ติดต่อมาโดยที่คนอื่นอาจจะไม่ทราบแล้วว่าป้าพอจะแสดงละครได้ และทันทีที่ป้าได้ค่าตัวจากละคร ป้าจะหักทันที 10% ให้การกุศล
ป้าจิ๊มีเกณฑ์เลือกงานยังไงบ้าง?
ป้าจิ๊ : สิ่งแรกดูก่อนว่าบทเหมือนไหม คือกันไหมกับบทที่เราจะแสดง อันที่สองทำงานให้ใครก็ต้องทำงานเต็มที่ เพราะฉะนั้นเรื่องรับงานซ้อนหรือรับงานอื่นๆ อยากได้เงินเยอะ เรื่องหนึ่งที่กำลังจ้างเราเขาก็มีความทุกข์นะคิวไม่ได้สักทีค่าตัวได้เหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้วหรือเปล่า แล้วคนที่น่ารักมากคือใครรู้ไหม พี่ตุ๊ก ดวงตา เขาบอก อ้าว…อิเจ๊ เราไม่ได้รับนาน เขารับกันยังไงฉันก็ไม่รู้
ก็คุยกันว่าประมาณแบบนี้ มีเวลาให้เขาไหม เล่นให้เขาเต็มที่ไหม ค่าตัวควรจะเป็นยังไง แล้วอีกอันหนึ่งขอไม่รับเชิญค่ะ สาเหตุเพราะเราอยากจะเล่น เราจะมองเห็นตัวนั้นเป็นตัวที่มีชีวิต แล้วเพื่อนป้าบอกเห็นเล่นทีไรก็คนใช้ทุกที แต่คนใช้ของฉันมีความหมายนะ ไม่ใช่มาทีไรก็เดินถือขนไก่ปัดนู่นปัดนี่ นั่งพับเพียบ ส่วนใหญ่ที่เราได้รับมันจะเป็นตัวเดินเรื่อง
จริงๆ ตอนนี้ชีวิตป้าจิ๊ลิขิตด้วยตัวเองได้แล้ว ตอนนี้มีความสุข มีทุกอย่าง เห็นบอกว่าล่าสุดไม่จ้างไม่เป็นไร เปรยๆมา เดี๋ยวสร้างละครเองเลย?
ป้าจิ๊ : คุยกัน มีแต่คนถามป้า ป้าบอกว่าอยู่วงการมาตั้งนานทำไมไม่เป็นผู้จัดฯ ป้าบอกเห็นมามาก ผู้จัดฯ มีฐานะดีหมดเลย แต่เห็นถึงการทำงานหนัก แล้วความทุกข์ทรมาน ความเครียด ป้าก็ไม่เอา ชีวิตป้าเกิดมา 1 ชีวิต ป้าเอาอะไรที่ง่ายๆ สั้นๆ เพราะป้าเป็นคนชอบสโลว์ๆ นิดหน่อยพอ แล้วเราไม่มีความสามารถ เราไม่ได้เป็นผู้บริหารที่จะจับคนนั้นคนนี้ มันไม่ใช่เรา เรานั่งอย่างเจียมตัวอยู่มุมนึงแล้วท่องบทไป เวลาเขาเรียกเข้าฉากก็เข้าฉากไป
ตอนที่หยุดไปคิดถึงงานในวงการไหม?
ป้าจิ๊ : ก็คิดถึงตลอด แต่ว่าตอนนี้ก็มีอีกเรื่องหนึ่งจ่ออยู่แล้ว
ตอนนี้ออกกำลังกายดูแลตัวเองทุกอย่าง แต่หนึ่งอย่างที่ป้าจิ๊จะกังวลตลอดเวลาไปทำงาน คือกลัวว่าจะไปเป็นภาระคนอื่น?
ป้าจิ๊ : ใช่ เพราะกองถ่ายมีคนเยอะมาก อาหารรวม แล้วเราจะไปบอกอันนี้ฉันไม่กินนะ เพราะฉะนั้นป้าจะเตรียมอาหารไปเอง แล้วเป็นคนกินช้า ค่อยๆ เคี้ยว เคี้ยวไม่ถึง 30 ครั้งมันไม่กลืน
ป้าจิ๊ไม่ใช้แบรนด์เนมเลย เป็นคนเรียบง่าย ในชีวิตไม่ใช้ของฟุ่มเฟือยเลยใช่ไหม?
ป้าจิ๊ : ไม่ซื้อ ถึงป้าจะใช้แบรนด์เนมคนเห็นป้าก็ต้องนึกว่าของปลอม หน้าประมาณนี้มันจะไปไหมนู้นนี่นั่น ป้าก็เลยไม่ใช้ แล้วเงินสำหรับป้ามันเอาไปใช้ประโยชน์ได้เยอะมาก เช่น ให้ทุนการศึกษาเด็ก เงินไม่มาก แต่จำนวนเด็กเยอะไม่ใช่เงินป้าคนเดียว เงินจากคนที่เรารู้จัก เงินจากลูกศิษย์ป้าบ้าง
ล่าสุดก่อนโควิดมาเด็กและผู้ปกครองไปอยู่บ้านป้าที่บ้านสวนประมาณเกือบ 3 พันคน เราไม่ได้ให้เยอะ ให้คนละ 500 บาท แต่กว่าจะได้ครูเขาก็จะสกีน 1.ยากจน 2.ตั้งใจ 3.มั่นใจเรื่องการศึกษา เพื่อนบอกว่า 500 บาทของแกนะมันต้องสกีนขนาดนี้ คือมันไม่ได้ มันไม่ใช่เงินของป้าคนเดียว อาจจะเป็นเงินหนูฝากมา พอมาที่บ้านก็มีปาร์ตี้ อาหารการกินเป็นซุ้มๆ แล้วแจกเงินทั้งหมด น่ารักมากมันเป็นสิ่งที่เราชอบ แล้วคิดว่าเงินของเรามันมีความหมาย
เวลาเราตรงมากๆ เรากลัวไหมว่าเด็กๆ เขาจะไม่ชอบเราหรือเปล่า?
ป้าจิ๊ : ไม่เป็นไรหรอก เราทำให้คนทั้งโลกเข้าใจเราไม่ได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเมตตา อยู่บนพื้นฐานของความตั้งใจให้คนได้ดี แต่ต้องดูมุมเขาด้วยว่าวันนี้เขามามุมไหน มุมเครียดหรือเปล่า เราต้องพิจารณา เคยมีนักแสดงสาวมาช้ามาก แล้วรุ่นป้าจะเป็นคนตรงต่อเวลา แล้วป้าจะไปก่อนเวลาเพราะป้ากลัวมาก เวลาเราไปแล้วเราเครียด คนมันรอ แล้วนักแสดงคนนั้นมาช้า คนในกองบอกว่าคุณลุงคนนั้นมาตั้งนานแล้ว แล้วเธอก็บอกว่า รอก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ ไม่เห็นมีงานอะไรอยู่แล้ว เราต้องดูคนที่ไปเตือนด้วย
สมัยวัยรุ่นหนุ่มๆ มาจีบเราเยอะไหม?
ป้าจิ๊ : ต้องไปถามหนุ่มๆ ทำไมไม่มาจีบมากกว่า มีแต่เพื่อนวิศวะ ตอนนี้มาเจอกันมองป้าตาละห้อย ก็ภรรยาเขาอ้วนขนาดนี้ แต่ป้าก็เซ็กซ์ เอ็กซ์ อึ๋ม มันบอกว่าไง เสียดายจัง มาเสียดายอะไรกันตอนนี้ เมื่อก่อนพวกแกไม่มองฉันเลย
เราอยากมีครอบครัวไหม?
ป้าจิ๊ : ป้าตั้งใจคิดมาตลอด ข้อที่1 อยากเป็นภรรยา 2.อยากเป็นมารดา แต่โอกาสมันไม่มา ไม่มีใครมาบอกว่ารักป้าเลย
ในชีวิตเรามีแฟนกี่คน?
ป้าจิ๊ : เวลามีใครเข้ามาในชีวิต มันเป็นเรื่องดีงาม แต่ถ้ามันไม่ได้เดินไปด้วยกันต่อ ทำไมเราต้องเอาชีวิตไปผูกกับใครก็ไม่รู้ที่เราไม่รู้ว่าจะทำให้เรามีความสุขหรือเปล่า ดูแลตัวเองก็ได้ ดูแลครอบครัวก็ได้ คนที่เรารู้จักไม่ใช่ไม่ดีนะ ดีหมดเลย
ถ้ามีคนอยากจะคุยด้วย ป้าจิ๊จะเปิดใจไหม?
ป้าจิ๊ : คงอายุ 72-73 ในเมื่อ ฉัน 71 เนี่ย ไม่เอา ฉันไม่ได้ต้องการที่จะมีใครที่ฉันจะต้องมานั่งโอบอุ้ม คิดเหรอว่าคนอายุ 72-73 จะแข็งแรงเหมือนฉัน แต่จะบอกว่ามันจะเป็นความทรงจำที่ดีมาก เมื่อเรามีคนที่ดีเข้ามาในชีวิต เราไม่จำเป็นต้องไปในจุดที่สมรส นึกถึงเมื่อไหร่ก็ดี
ป้าจิ๊เหมือนพร้อมที่จะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต?
ป้าจิ๊ : มันก็คงจะแล้วล่ะนะ
ป้าจิ๊ได้เตรียมตัวที่จะตายอย่างสงบ?
ป้าจิ๊ : ใช่ อันนี้ไม่เจ็บเลยนะ เป็นเรื่องจริง
อะไรคือการเตรียมตัวตายอย่างสงบ?
ป้าจิ๊ : เราต้องรู้ว่าเราจะไม่ไปเป็นภาระใคร จัดการชีวิตของเรายังไง สมบัติ มรดกก็ไม่ได้มีอะไรเยอะ ป้าทำพินัยกรรมเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ร่างกาย เผามันก็เน่าไปอยู่แล้ว ป้าก็เลยบริจาคร่างกายเอาไว้
ที่มา: Orange Mama