หลังจากรอคอยกันมานาน สำหรับเงินช่วยเหลือชาวนา วันนี้มีข่าวดี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 65 เพจ รัชดา ธนาดิเรก – รองโฆษกรัฐบาล ได้โพสต์ข้อความระบุว่า… พร้อมโอน 22 พ.ย. 2565 นี้ พาณิชย์จ่ายเงินประกันรายได้ข้าวปี 4 และเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 ธ.ก.ส.โอนเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง
#กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน เคาะราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง และการชดเชยส่วนต่างราคาตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2565/66 โดยจะกำหนดราคาส่วนต่างที่จะต้องจ่ายชดเชยให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ย้อนหลังไปจนถึงวันที่ 15 ต.ค.65 (งวดแรก) และพิจารณางวดถัดไปที่จะจ่ายทุก 7 วัน รวมจ่ายทั้งสิ้น 33 งวดจนจบโครงการ
สำหรับการกำหนดราคาประกันรายได้ข้าวเปลือก 5 ชนิด มีดังนี้…
1.ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท รายละไม่เกิน 14 ตัน
2.ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท รายละไม่เกิน 16 ตัน
3.ข้าวเปลือกปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท รายละไม่เกิน 25 ตัน
4.ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 10,000 บาท รายละไม่เกิน 30 ตัน
5.ข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท รายละไม่เกิน 16 ตัน
ส่วนโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุนการเพาะปลูกไร่ละ 1,000 บาท กำหนดไม่เกินรายละ 20 ไร่ หรือไม่เกิน 20,000 บาทต่อครัวเรือนนั้น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตรโดยตรง
คาดว่าการจ่ายเงินส่วนต่างโครงการประกันรายได้และเงินช่วยเหลือลดต้นทุนไรละ 1,000 บาท จะเริ่มจ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย.2565 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ขอให้เกษตรกรตรวจสอบชื่อบัญชี ธ.ก.ส.ให้ตรงกับชื่อที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ธ.ก.ส. หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดในพื้นที่
นอกจากนี้ กรมการค้าภายในได้เตรียมการเดินหน้ามาตรการคู่ขนานอีก 3 มาตรการ เพื่อช่วยดึงราคาข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตข้าวออกสู่ตลาดมาก ได้แก่ 1) มาตรการชะลอขาย โดยให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจัดเก็บไว้ในยุ้งฉาง เป้าหมาย 2.5 ล้านตัน โดยรัฐบาลช่วยค่าฝากเก็บ 1,500 บาท/ตัน 2) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการรวบรวมของสหกรณ์
โดยช่วยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ไม่เกิน 12 เดือน และ 3) มาตรการเพิ่มสภาพคล่อง โดยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกและเก็บสต็อก เป็นระยะเวลา 2-6 เดือน ซึ่งรัฐจะช่วยดอกเบี้ยร้อยละ 3
ที่มา: รัชดา ธนาดิเรก – รองโฆษกรัฐบาล