เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2565 ณ.ที่วัดโกสัมพี ม.5 ต.โกสัมพี อ.โกสัมพีนคร จ.กำแพงเพชร หลังได้รับเรื่องจากชาวบ้านรายหนึ่งว่ามีผู้ยากไร้น่าสงสาร หลัง นายทองอินทร์ สีขำ อายุ 62 ปี ต.โกสัมพี อ.โกสัมพีนคร จ.กำแพงเพชร ถูกรถยนต์เก๋งชนเสียชีวิต ขณะจูงรถจักรยานหาเก็บของเก่าไปขาย เหตุเกิดที่บริเวณทางแยกเข้าเขาสนามเพรียง ถนนพหลโยธิน (ขาขึ้น)
ส่วนเจ้าของรถยนต์ที่เป็นคู่กรณีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โกสัมพี เจ้าของพื้นที่ได้ทำการตรวจสอบเพื่อดำเนินการสอบสวนต่อไปแล้ว เบื้องต้นว่าคู่กรณี และญาติผู้เสียชีวิตจะมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อสอบปากคำอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้คุณยาย สาว กุหลาบสี อายุ 81 ปี ผู้เป็นมารดาของ นายทองอินทร์ สีขำ ผู้เสียชีวิต สภาพร่างกายผอมโซนั่งๆ นอนๆ สายตาเหม่อลอยอยู่บริเวณด้านหน้าโลงที่ตั้งบำเพ็ญลูกชาย อยู่บนศาลาวัด
ซึ่งจากการพูดคุยกับคุณยายไม่สามารถพูดคุยปะติด ปะต่ออะไรได้เนื่องจากอายุมากแล้ว หลงๆ ลืมๆ เมื่อสอบถามว่าใครเสียชีวิต คุณยายสาว ไม่ได้ตอบอะไรบอกเพียงว่าบ้านอยู่โกสัมพี ซึ่งชาวบ้านหลายคนที่มาพบเห็นต่างพากันเวทนา ต่างพากันมาช่วยเหลือทำอาหาร การกินให้ในงาน ซึ่งมีคนมาร่วมงานในบริเวณวัดดังกล่าวไม่กี่คน โดยมี นายเรวัณน์ สีขำ อายุ 36 ปี อาชีพทำงานก่อสร้าง ลูกชายของนายทองอินทร์ ซึ่งเดินทางมาจาก จ.ฉะเชิงเทรา
หลังทราบข่าวผู้เป็นพ่อถูกรถชนเสียชีวิต คอยดูแลอยู่ภายในงานซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความเศร้าโศก และน่าเวทนา เนื่องจากนายทองอินทร์ (ผู้เสียชีวิต) เป็นเสาหลักของครอบครัวเมื่อมาเสียชีวิตลงครอบครัวนี้คงจะต้องลำบากแน่นอน โดยบ้านของนายทองอินทร์ ผู้เสียชีวิตเพื่อดูสภาพความเป็นอยู่ปรากฏว่าสภาพบ้านเป็นโครงเหล็กหลังเล็กๆ ฝาบ้านทำด้วยสังกะสี
ทราบว่าได้รับความช่วยเหลือทุนการสร้างบ้านมาจาก กลุ่มใจถึง พึงได้ กำแพงเพชร ซึ่งมี ส.ส.วัน อยู่บำรุง เป็นหัวหน้ากลุ่มมีเครือข่ายทั่วประเทศ โดยบริเวณบ้านเต็มไปด้วยเศษขยะ ซึ่งทราบว่าผู้ตายได้นำขยะมาคัดแยกเพื่อนำออกไปจำหน่ายเพื่อนำมาเลี้ยงชีพ และครอบครัวอยู่เป็นประจำโดยใช้รถจักรยานเป็นพาหนะขนของมาที่บ้าน
ซึ่งภายในบริเวณบ้านได้พบกับชายสูงอายุคนหนึ่งทราบชื่อนายกอก สีขำ (น้องชายของผู้ตาย) อายุ 52 ปี นั่งถอดเสื้อเนื้อตัวมอมแมมอยู่ในเพิงพักหลังเล็กๆ สอบถามไม่ได้พูดอะไร ซึ่งมาทราบภายหลังว่าพูดไม่ได้ รอคอยอาหารจากนายทองอินทร์ผู้เสียชีวิต ซึ่งการเลี้ยงดูจะอยู่ในความดูแลของนายทองอินทร์ผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น
นายเรวัณน์ สีขำ อายุ 36 ปี (ลูกชายของผู้เสียชีวิต) อาชีพรับจ้างก่อสร้าง กล่าวว่า ตอนนี้ครอบครัวตนขาดเสาหลักไปแล้วหลังจากนี้ ต่อไปตนคงต้องกลับมาดูแลคนทางนี้ซึ่งทำอะไรไม่ไหวโดยจะหางานทำอยู่ในพื้นที่ได้วันละ 200 หรือ 300 บาทก็ต้องทำเพื่อมาประทังชีวิต โดยที่ผ่านมามีกลุ่ม ใจถึง พึ่งได้ ที่อยู่ในพื้นที่ชื่อพี่เก่ง มาดูแลหากตนและครอบครัวไม่ได้เขาคนนี้คงจะแย่ไปมากกว่านี้
เพราะช่วงที่ผ่านมาตนไปทำงานที่อื่นตนก็ส่งเงินบ้างเป็นครั้งคราวแต่ไม่มากเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ ส่วนทางคดีเรื่องของรถยนต์ที่ชนพ่อจนเสียชีวิตก็ต้องรอปรึกษากันอีกครั้งเบื้องต้นทราบว่าทางพนักงานสอบสวนได้เรียกคู่กรณีให้มาสอบปากคำ และทางเราจะได้พูดคูยกับคู่กรณีในวันศุกร์ที่ 1 ก.ค. 2565 ที่จะถึงนี้อีกครั้ง