ชาวไร่ได้เฮ เปลี่ยนผืนดินแล้ง เดิมปลูกอ้อย นับเงินหมื่น หันปลูกมัน ขยับขึ้นหยิบเงินแสน

วันที่ 15 มี.ค. 2566 บรรยากาศการเก็บเกี่ยวผลผลิตมันสำปะหลัง ของเกษตรกรชาว ต.นาเชือก ต.เขาพระนอน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ พื้นที่นอกเขตใช้น้ำชลประทานลำปาวพบว่า มีการระดมแรงงานเก็บหัวมันสำปะหลังอย่างแข็งขัน ถึงแม้จะทำงานหนักในท่ามกลางสภาพอากาศที่แดดจัดและร้อนแล้ง หรือถึงแม้จะเป็นแรงงานที่ค่อนข้างมีอายุระหว่าง 45-70 ปี แต่ทุกคนก็ไม่มีอาการเหนื่อยล้า

ทั้งนี้ จากการสอบถามทราบว่า ทุกคนมีกำลังใจทำงาน แทบจะลืมวัยและความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เนื่องจากราคาขายผลผลิตหัวมันสำปะหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวปีนี้สูงขึ้นถึงกิโลกรัมละ 3.60-3.80 บาท หรือตันละ 3,600-3,800 บาท ต่างจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ราคาสูงสุดเพียงกิโลกรัมละ 2.50 บาท หรือตันละ 2,500 บาทเท่านั้น ที่สำคัญเป็นการเก็บเกี่ยวผลผลิตมันสำปะหลัง ที่ได้ราคาสูงกว่าอ้อยอีกด้วย

นางมณี วงค์สมศรี อายุ 54 ปี เกษตรกรบ้านหนองกาว ต.นาเชือก อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตนมีที่ดินทำการเกษตร 20 ไร่ เดิมเคยปลูกอ้อยส่งโรงงาน ปีใดประสบภัยแล้ง อ้อยให้ผลผลิตตกต่ำ เสี่ยงกับการขาดทุน ที่สำคัญต้นทุนการทำไร่อ้อยสูงมาก รวมทุกขั้นตอนตั้งแต่เตรียมดิน ค่าปุ๋ยเคมี ค่าแรงงาน ค่าเก็บเกี่ยว เฉลี่ยไร่ละ 12,000 บาท อายุ 12-14 เดือนเก็บเกี่ยว ราคาขายตันละประมาณ 1,400 บาท

ขณะที่ต้นทุนการปลูกมันสำปะหลังทุกขั้นตอนต่ำกว่าการปลูกอ้อย เฉลี่ยไร่ละ 6,500 บาท อายุ 6 เดือนขึ้นไปเริ่มเก็บเกี่ยวได้ ราคาขายตันละประมาณ 3,600 บาท หรือกิโลกรัมละ 3.60 บาท โดยเฉพาะในช่วงนี้ราคารับซื้อพุ่งสูงตามลำดับ และอยู่ที่ประมาณ 3.70-3.80 บาท

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพแป้งของหัวมันสำปะหลัง นอกจากนี้ในส่วนของการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังก็ง่ายกว่าอ้อย โดยใช้รถไถพรวนแล้วเก็บหัวมัน ไม่ต้องเผาอ้อยก่อนตัดให้เกิดฝุ่นละออง หรือ PM 2.5 ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกต่างหาก ด้านนายบุญจันทร์ เหล่าแสง อายุ 62 ปี เกษตรกรบ้านหนองกาว กล่าวว่า ตนเคยปลูกอ้อยมาหลายปี

แต่ได้กำไรน้อย บางปีที่ประสบภัยแล้ง อ้อยไม่เจริญเติบโต ขายได้กำไรแค่เงินหมื่น แต่ปีนี้หลังจากเห็นแนวโน้มราคามันสำปะหลังดีขึ้น จึงหันมาปลูกมันสำปะหลังดู และนำไปขายได้ราคากิโลกรัมละ 3.70 บาท รวมรายได้และหักค่าใช้จ่ายเหลือเงินเป็นแสน

เรียกได้ว่า เป็นเกษตรกรมาหลายสิบปี เพิ่งได้หยิบเงินแสนก็ในปีนี้ โดยมีเงินเหลือไปใช้หนี้ ธกส. และเหลือแบ่งเป็นทุนสำหรับปลูกมันสำปะหลังในฤดูกาลต่อไปอีกด้วย ซึ่งจะเริ่มเพาะปลูกทันทีที่ฝนตกลงมา ให้ดินมีความชุ่มชื้น เพื่อมันสำปะหลังเติบโตได้ดี

ทั้งนี้ ในภาพรวมเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลังทุกคนมีกำไร ต่างจากที่เคยปลูกอ้อย ซึ่งได้กำไรน้อย และยังเสี่ยงกับการขาดทุน แต่สิ่งที่อยากจะฝากไปถึงส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ช่วยควบคุมราคาปุ๋ยเคมีให้ราคาถูกลงกว่านี้ด้วย ปัจจุบันราคาสูงมาก ปีที่ผ่านมากระสอบละ 1,700 บาททีเดียว จึงเป็นภาระหนักของเกษตรกรที่ปัจจัยการผลิตสูงมาก เพราะหากราคาปุ๋ยเคมีลดลง เกษตรกรก็จะมีกำไร

อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่ราคาซื้อขายมันสำปะหลังสดสูงขึ้นกิโลกรัมละ 3.60-3.80 บาทดังกล่าว จึงเป็นแรงดลใจให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังหลายราย ใช้เวลาว่างให้เกิดมูลค่าเพิ่ม โดยนำหัวมันสำปะหลังมาสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นนำไปผึ่งแดดให้แห้ง แล้วบรรจุกระสอบไปขาย ซึ่งจะได้ราคาสูงกว่าขายหัวมันสดเป็นเท่าตัว คือกิโลกรัมละ 7-8 บาททีเดียว

About the author

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *