จากกรณี ของครอบครัวหนึ่งที่ต้องอาศัยตึกร้างเป็นที่อยู่อาศัย และไม่มีน้ำไฟใช้ แถมยังมีลูกน้อยอีก 4 ชีวิต มีแม่ลูก 4 ชีวิตสุดรันทดอาศัยตึกร้าง น้ำและไฟไม่มี ที่บริเวณดังกล่าวพบโครงสร้างเป็นแบบอาคารพาณิชย์จำนวน 5 คูหา ที่ยังสร้างไม่เสร็จและถูกปล่อยทิ้งร้าง ภายในตัวอาคารพบ น.ส.ชนนิกานต์ คำพิม อายุ 28 ปี อาศัยอยู่กับลูกสาว 4 คน อายุ 2 ปี, 5 ปี 8 ปี และอายุ 1 เดือน
เมื่อปีที่แล้วตนได้หอบลูกน้อยจำนวน 3 คนติดตามสามีจาก จ.อุดรธานี เพื่อมารับจ้างตัดอ้อยในพื้นที่ อ.ชะอำ โดยพักอยู่ในแคมป์คนงาน แต่ต่อมานายจ้างได้ไล่ให้ตนและสามีออกจากงานอ้างว่าตนมีลูกเยอะและขี้เกียจทำงาน และเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมาตนได้ คลอ ด ลูกสาวเองโดยมีสามีคอยช่วยเหลือโดยไม่ได้ไปหาหมอแต่อย่างใด
ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2565 ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ หลังลงพื้นที่ไปยัง ตึกร้างซึ่งอยู่ริมถนน ริมถนนสายบายพาส-ปราณบุรี ฝั่งขาล่องใต้ ม.4 ต.สามพระยา อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โดยพบว่าเป็นที่อยู่อาศัยของ น.ส.ชนิกานต์ หรือ กานต์ อายุ 28 ปี โดยเจ้าตัวอยู่อาศัยกับสามีคือนายไชยยันต์ และลูกสาวอีก 4 คน โดยคนแรกอายุ 8 ปี และคนที่ 2 อายุ 5 ปี คนที่ 3 อายุ 2 ปี และคนสุดท้องพึ่งคลอ ดอายุ 1 เดือน
โดย ณ.อาคารร้างดังกล่าว เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลแต่เจ้าของไม่ได้เข้ามาดูแล จึงทำให้ครอบครัวของ น.ส.ชนิกานต์เข้ามาอาศัยอยู่ทำเป็นที่พักชั่วคราว โดยสภาพความเป็นอยู่นั้นเต็มไปด้วยกองขยะ กองเสื้อผ้าที่ใช้ และไม่ใช้ แหวกเป็นทางเดินเพื่อเข้าไปบริเวณแครตรงกลางของห้อง ภายในห้องดังกล่าวมีการทำมุ้งกางทิ้งเอาไว้เพื่อทำเป็นที่หลับนอนสำหรับ 5 คน คือ แม่และลูกๆ
ส่วนพ่อไปผูกเปลนอนอยู่ข้างนอกตัวอาคาร แต่แม้ว่าจะทำเป็นลักษณะห้องเพื่อใช้หลับนอนและเป็นที่พักอาศัยก็ไม่ได้มีผนังหรือหลังคา มีเพียงแค่อิฐปูนก่อขึ้นมาเพียง 150 เช็นติเมตร น.ส.ชนิกานต์ ผู้เป็นแม่ เปิดใจว่า ตนเองยอมรับสภาพว่าครอบครัวของตนเองกินอยู่อย่างลำบาก แต่ก็ไม่เคยทำให้ลูกอดกิน ซึ่งสามีออกไปทำงานรับจ้างวันละ 300 บาท เพื่อซื้อข้าว และอาหารมาให้ลูก
ส่วนตนเองกับสามีนั้นก็กินผักและจับหอยปูมาทำกิน ฉะนั้นจึงยืนยันว่าไม่เคยเลี้ยงลูกให้อดอยาก แต่เรื่องของชีวิตความเป็นอยู่นั้นก็ต้องอยู่ตามสภาพเพราะเนื่องจากไม่ได้ร่ำรวย สำหรับเรื่องของการศึกษาของลูก ลูกสาวคนโตวัย 8 ปี และ 5 ปี ตนเองก็ได้ส่งเข้าไปเรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งก็ได้รับความอนุเคราะห์จากทางครู และผู้อำนวยการโรงเรียน ที่ออกค่าใช้จ่ายรวมถึงค่าอุปกรณ์การเรียนให้กับลูกสาว ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา
ซึ่งตนเองก็พยามทำทุกอย่างให้ลูกได้เรียนหนังสือ และได้มีชีวิตที่ดี แต่ส่วนลูกคนกลาง และคนเล็กที่เพิ่งคลอด ก็ต้องเลี้ยงดูอย่างดี แม้ว่าบางวันตนเองจะอดอยาก แต่ลูกต้องได้กิน แต่หากย้อนกลับไปยอมรับว่าเคยมีหน่วยงานรวมถึงรายการ คู่ทราบปลาไพ ทางอมรินทร์ทีวี เคยเข้ามาให้การช่วยเหลือ แต่ติดที่ตัวของนายไชยยันต์ สามี ที่ไม่ตอบรับโอกาสดังกล่าว
เพราะต้องการที่จะทำมาหากินอยู่แถวนี้ เนื่องจากมีอาชีพรับจ้างรีดนมวัว ซึ่งก็มีรายได้ประจำอยู่แล้ว จึงทำให้ไม่อยากย้ายออกจากพื้นที่ และไม่อยากไปเริ่มต้นใหม่ที่อื่น ซึ่งตนเองก็เคารพการตัดสินใจของสามี ก็เลยอยู่บ้านเพื่อดูแลลูก ให้สามีออกไปทำงาน ทั้งนี้หากมีหน่วยงานเข้ามาอีกครั้ง และต้องการที่จะให้ตนเองย้ายไปอยู่ที่อื่น หรือจะให้การช่วยเหลือ ตนเองก็ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ต้องรอสามี เพราะถือว่าเป็นการตัดสินใจร่วมกัน
น.ส.ชนิกานต์ เผยอีกว่าถ้าหากจะให้ตนเองย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ จ.อุดรธานี แม้ว่าจะมีบ้านญาติ และบ้านของตนเองอยู่แล้ว แต่จะทำมาหากินลำบาก หากสุดท้ายมีความจำเป็นที่จะต้องให้ลูกได้กินดีอยู่ดี หรืออยู่ในสภาพที่อยู่อาศัยที่ดีกว่านี้ ก็ต้องยอมกลับไปอยู่บ้านที่ จ.อุดรธานี แล้วค่อยหางานทำต่อไป ขณะที่เรื่องของลูกคนสุดท้องที่เพิ่งคลอดนั้น ตัวเองยอมรับว่าไม่ได้มีการใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลหรือสิทธิ์การฝากครรภ์
เพราะเนื่องจากเป็นคนต่างพื้นที่ไม่มีสิทธดังกล่าว ฉะนั้นเมื่อตั้งของลูกคนสุดท้อง ตนเองก็มีการเลี้ยง และบำรุงครรภ์ตามปกติ แต่ก็ไม่คิดว่าเมื่อเดือนก่อน ตัวเองรู้สึกปวดท้องเข้าใจว่าเป็นการปวดท้องหนัก จึงไปขุดหลุมในป่าเพื่อที่จะขับถ่ายตามปกติ แต่ปรากฏว่าช่วงจังหวะที่ตนเองกำลังขับถ่ายนั้นน้ำเดินหัวลูกโผล่ออกมา ตนเองจึงได้รีบตะโกนบอกลูกสาวคนโตให้บอกพ่อและนำน้ำสะอาดไหม แต่ก็ไม่ทันเพราะลูกของตนเองคลอดกลางป่าในขณะที่กำลังขับถ่าย
สามีก็ได้เข้ามาช่วยเหลือโดยการใช้มีดทำครัวตัดสายรกให้ ซึ่งรกที่คลอดออกมาพร้อมลูกก็ได้มีการฝังในที่กลางป่า หลังจากนั้นก็ได้พาลูกสาวไปที่อนามัยเพื่อให้หมอช่วยดู ซึ่งก็มีการดูแลเท่าที่ตัวเองจะทำได้ เช่นเดียวกับลูกคนรองวัย 2 ปี ลูกชายคนดังกล่าวตนเองก็ทำคอดเองเหมือนกัน เพราะตอนนั้นลูกสาวคลอดที่แคมป์คนงานในที่ทำงานเก่า ก็ใช้วิธีการเดียวกัน ให้สามีตัดสายรกให้ แล้วค่อยพาไปโรงพยาบาลหรืออนามัยใกล้บ้าน
สำหรับลูกสาว 2 คนแรก คนหนึ่งคลอดที่โรงพยาบาลอีกคนหนึ่งคลอดในรถกู้ภัยทุกอย่างก็มีระบบการดูแลถูกต้อง วันเดียวกันนี้ ปรากฏว่าช่วงที่ทีมข่าวลงพื้นที่มาช่วงเวลาประมาณ 13:00 น. ได้มีเจ้าหน้าที่จากพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเพชรบุรี ลงพื้นที่มาพร้อมกับตำรวจ สภ.ชะอำ และ รวมถึงฝ่ายปกครองพื้นที่ ลงพื้นที่เข้ามาติดตามภายหลังเริ่มปรากฏเป็นข่าวเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของแม่และเด็กภายในบ้านร้าง
ทันทีที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้เดินทางมาถึง ได้พยามเข้าไปเจรจากับ น.ส.ชนิกานต์ แม่ของเด็ก แต่เจ้าตัวยืนยันว่าไม่สามารถที่จะให้คำตอบอะไรได้ เพราะเนื่องจากต้องให้ นายไชยยันต์ พ่อของเด็กช่วยตัดสินใจ เพราะเนื่องจากการตัดสินใจเรื่องของการย้ายไปอยู่ที่อื่นต้องตัดสินใจร่วมกัน ช่วงหนึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการประสานให้นายไชยยันต์ผู้เป็นพ่อ เดินทางมาจากที่ทำงานรับจ้าง ให้เข้ามาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่
โดยได้มีการเจรจา และขอที่จะให้แม่ และเด็กย้ายไปอยู่อาศัยที่บ้านพักเด็กจังหวัดเพชรบุรีร่วมกับเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ แต่ตัวของผู้เป็นพ่อปฏิเสธ โดยอ้างว่า ไม่อยากให้ใครมาพลากลูก พลากเมีย พลากพ่อ พลากแม่ เป็นลูกเมียใคร ใครก็รัก จึงทำให้การเจรจาไม่สำเร็จ เพราะเนื่องจากตัวของผู้เป็นพ่อคือนายไชยยันต์ ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่พาลูกเมียไปอยู่ที่อื่น
จากนั้นเจ้าตัวได้มีการยื่นข้อเสนอให้กับเจ้าหน้าที่ โดยเตรียมที่จะย้ายลูกเมียไปเช่าอาศัยอยู่เพื่อที่จะให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่านี้ เพราะทุกวันนี้สามารถที่จะทำงานรับจ้างวันละ 300 บาท จนมีเงินเก็บจำนวนหนึ่งแต่ไม่มาก สามารถจะพากันย้ายไปอยู่อาศัยห้องเช่าได้ แต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าในวันนี้จะต้องมีการย้ายออก หรือให้เจ้าหน้าที่รับแม่และเด็กไปดูแลก่อนชั่วคราว จึงทำให้ช่วงการเจรจานั้นอาจจะดูวุ่นวายเล็กน้อย
และเมื่อเวลา 17.00 น. เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเพชรบุรี พร้อมด้วยตำรวจพื้นที่ สภ.ชะอำ และฝ่ายปกครอง ได้เดินทางไปพร้อมกับ นางแป๊ว ซึ่งเป็นนายจ้างของนายไชยยันต์พ่อของเด็ก โดยพาเจ้าหน้าที่พร้อมกับทีมข่าวเข้าไปที่ฟาร์มเลี้ยงวัวนม โดยพาไปดูสถานที่ซึ่งตะให้เป็นที่พักชั่วคราวของพ่อ-แม่ และเด็กๆ ระหว่างช่วงที่กำลังจะมีการจัดหาวัสดุอุปกรณ์มาสร้างกระต๊อบแห่งใหม่
โดยจะให้ไปอยู่อาศัยชั่วคราวที่แค่ไม้ ที่เป็นลักษณะศาลาที่พักของคนงานในระหว่างที่เข้ามาทำงานที่ฟาร์มวัวนม โดยเจ้าตัวได้มีการปัดกวาด และเก็บสิ่งของบนแคร่ เพื่อที่จะเตรียมรองรับครอบครัวของนายไชยยันต์ แต่จะไม่ใช่ที่พักถาวรเป็นเพียงแค่ที่พักชั่วคราวระหว่างที่กำลังทำกระต๊อบให้ โดยเจ้าหน้าที่ก็ได้เข้าไปดูเกี่ยวกับสุขลักษณะ รวมทั้งห้องน้ำห้องท่า
ซึ่งก็ยืนยันว่าสถานที่แห่งนี้สามารถที่จะอนุญาตให้เด็ก และครอบครัวย้ายมาอยู่อาศัยได้โดยไม่ต้องไปอยู่ที่บ้านพักเด็ก แต่ให้ข้อตกลงกับนางแป๊วว่า หลังจากที่มีการย้ายครอบครัวมาอยู่ภายใน 3-4 วันเสร็จ จะมีการเข้ามาตรวจสอบเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่อีกครั้ง และตามข้อตกลงที่อ้างว่าจะทำกระต๊อบแห่งใหม่ให้ หากแล้วเสร็จก็ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเข้ามาทำการตรวจสอบอีกครั้ง
โดยเป็นการยืนยันเกี่ยวกับการช่วยเหลือ ไม่ใช่เพียงแค่รับปากว่าย้ายมาอยู่แต่สุดท้ายก็ให้กลับไปอยู่ที่เดิม ดังนั้นจึงต้องมีการทำข้อตกลงกันไว้ ซึ่งนางแป๊วบอกว่าขอเวลาในการย้ายในช่วง 3-4 วัน เพราะเนื่องจากจะต้องทำผนังกั้น เพื่อให้ทำเป็นลักษณะบังลมบังฝนให้เด็ก ๆ ก่อน แต่ช่วงนี้ยังต้องให้เด็กอาศัยอยู่ที่ตึกร้างไปก่อน แต่คาดว่าน่าจะไม่เกิน 2 วัน จะมีการทำที่พักชั่วคราวให้เสร็จ
ด้าน นายไชยยันต์ พ่อของเด็ก เผยว่า ตนเองก็ยืนยันว่าแม้จะมีหน่วยงานเข้ามายื่นข้อเสนอ และอยากจะช่วยเหลือครอบครัวของตนเองส่วนตัวก็เข้าใจถึงเจตนาที่ดี แต่ในการดูแลครอบครัวนั้น แม้ว่าจะกินอยู่ลำบากเพราะเนื่องจากไม่ได้อยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวยและไม่ได้มีที่อยู่อาศัยประจำ แต่ตนเองก็ไม่เคยทำให้ลูก และเมียอดอยาก สามารถที่จะหาเงิน และหาอาหารมาให้ลูกกินได้
ที่สำคัญตนเองก็ไม่อยากจะให้ใครมาพลากลูกพลากเมียไปจากตนเอง แม้ว่าจะอ้างว่ามีหน่วยงานพาไปอยู่บ้านพัก แต่ก็ไม่ได้มีความสะดวกสบายเหมือนเช่นทุกวันที่พออยู่อาศัยได้ จะหาทางออกเพื่อให้ลูกเมียได้อยู่กับตนเอง แล้ววันนี้ตนเองขอบคุณนางแป๊ว ซึ่งเป็นนายจ้างที่ออกมายืนยันว่าจะพาตนเองไปอยู่อาศัย และสร้างกระต๊อบให้
ตนเองก็ฝากขอบคุณ และอยากจะพาลูกเมียไปอยู่ในสถานที่ที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา และเชื่อว่าสถานที่แห่งใหม่ก็จะทำให้ตนเอง และครอบครัวอยู่กันอย่างอบอุ่น ไม่ถูกพลากไปจากกัน และตนเองยืนยันว่าจะพยามขยันทำมาหากินเพื่อที่จะสร้างครอบครัวและทำให้ลูกเมียได้กินดีอยู่ดีกว่านี้
ที่มา: ทุบโต๊ะข่าว Amarin TV 34