ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตลกชื่อดังที่ได้ออกมรเปิดใจถึงชีวิตครอบครัวของตัวเองกับภรรยาและลูกโดย เอ๋ เชิญยิ้ม เคยเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บ SHOW พร้อมภรรยาและลูกสาว ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ หนิงปณิตา และ ชมพู่ ก่อนบ่าย เป็นพิธีกร เปิดความจริงในชีวิตตลกที่อาจจะไม่ตลก เคยต้องนำลูกไปเลี้ยงบนเวที เล่นตลกไปร้องไห้ไป ไม่น่าภูมิใจ
เพราะว่าผมเรียกว่ามันเป็นการผิดพลาด เป็นการผิดพลาดในชีวิต ก็ คือผิดไง ผิดแล้วพลาดด้วย พอพลาดแล้วมีลูก ท้องขึ้นมาถ้าเป็นคนอื่นหรือว่าเป็นวัยรุ่นสมัยเก่าก็จะไม่อยากมีอยู่ แต่ผมมีความรู้สึกว่าเขาเป็นชีวิตน้อยๆที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย มาจากที่เรามีความสุขชั่ววูบ วาบไม่ได้คิด แล้วเกิดเขาขึ้นมาแล้วมาอะไรเขาเนี่ย ไม่ใช่เรื่อง เขาไม่ผิดอะไรเลย เราก็เลยคิดว่าต้องเอาไว้ เราก็เลยกลายเป็นคุณพ่อลูกดก
เอ๋ เชิญยิ้ม พรั่งพรูความในใจต่อว่า สมัยก่อน ผมก็เป็นตลกคนหนึ่งอยู่ในคาเฟ่ วนเวียนอยู่ในแสงสีแล้วก็กิเลสตัณหามีหมดทั้งผู้หญิงและการติดเล่นครบเครื่อง ซึ่งเราก็ยังคิดไม่ได้เหมือนทุกวันนี้ พอเรามี 1 เนี่ย ตอนนั้นทุกคนพูดเลยต้องมี2 นอกบ้าน พอ 1 รู้ 1 ยังพอรับได้ แต่รู้ว่า 2 ตั้งท้องด้วยเนี่ยรับไม่ได้ 1 ออก 2 เข้ามาแทนเป็นแบบนี้มาจนถึงภรรยาคนที่ 4 ตอนนั้นก็อยู่ด้วยกันทั้งคนที่ 3 แล้วก็ 4 เมื่อถึงเวลาผู้ชายจะบอกว่าสนุกชั่วครู่ ถึง
เวลาไม่ผูกพัน ถึงเวลาเราก็ต้องเลือกภรรยา แต่เมื่อถึงเวลามันเป็นรักสามเส้านี่เรื่องจริง พอมันเกิดขึ้นปุ๊บจะให้เลิกคนใดคนนึงมันคิดอันดับแรกเลยว่าเขาผิดอะไร มันผิดที่เราเอง บอกภรรยาว่ามันผิดที่พ่อเองนะเขาไม่ผิดเลย แล้วภรรยาที่ 3 ก็ไป แต่ลูกก็อยู่กับเราอีก แล้วภรรยาคนที่ 4 ก็ท้องทีนี้คนที่ 4 เราก็รักและผูกพัน เริ่มเป็นผู้ใหญ่ เริ่มเป็นความรักจริงไม่ใช่ความหลง เมื่อก่อนนี้ที่ผ่านๆมามันเป็นความ
หลงชั่ววูบ แต่พอเป็นความรักจริงๆ ถึงเวลาเราก็ยังหลายใจอยู่มันเป็นนิสัย ในวันนี้ เอ๋ เชิญยิ้ม ได้บทเรียนสำคัญในชีวิต พร้อมย้ำว่า อันนี้ผมพูดให้ฟัง เพราะผมเลิกหมดแล้ว แล้วก็มันไม่ดี จนมีคนที่ 5 คนที่ 4 เขาก็เลยไป ไปปุ๊บเนี่ย ผมยังนั่งกับผู้หญิงอยู่เลย แล้วตอนนั้นติดการเล่นด้วย ก็เล่นไปด้วยผู้หญิงอยู่ข้างๆ ตอนนั้นตลกจะเล่น จะมีครบทุกอย่าง
ผู้หญิงอยู่ข้างๆ อาโทรมาบอก เอ๋ ภรรยาหอบลูกหนีไปแล้วนะคนนี้เอาลูกไปด้วย คนที่ 4 เขาเอาลูกของเขาเองไปด้วย ที่บ้านเหลือลูกของภรรยาที่ 1 2 และ 3 อยู่ เมื่อเกิดวิกฤตในชีวิต เอ๋ เชิญยิ้ม หาทางออกด้วยการให้เด็กข้างบ้านช่วยเลี้ยงลูก โดยบอกว่า เราก็จ้างเขา เราไปเล่นตลกมีอยู่ครั้งที่เราขับมอเตอร์ไซค์ชอปเปอร์ แล้วก็เอาลูกคนเล็กประมาณ 2 ขวบ
กว่าผู้หญิง นั่งหน้าฝาถังขับรถไปทำงาน เพราะว่าไอ้คนใหญ่ฝากเลี้ยงได้ แต่ว่าคนเล็กเอาไปไม่ได้เพราะมันติดผม ก็เลยเอาไปเล่นตลกด้วย ผมเล่นตลกอยู่หน้าเวที นักร้องช่วยกันอุ้ม เพื่อนๆกันช่วยกันอุ้มดูแลให้ บางทีก็นอนอยู่หลังเวที ลูกผมนอนโซฟา นั่นทำให้ เอ๋ เชิญยิ้ม เริ่มกลับมาคิดถึงการใช้ชีวิตที่ผ่านมา และถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลง โดยบอกว่า ผมเล่นตลกไปหันมองไป มองครอบครัวข้าง
หน้าเขากินข้าวกัน มันนึกถึงตัวเราเอง ว่าที่ลูกเป็นแบบนี้ มานอนข้างหลังแบบนี้เพราะเราไม่หยุด ถ้าเราหยุดลูกจะไม่เป็นแบบนี้ เล่นตลกไปหันหลังร้องไห้ไป ผมหันหลังร้องไห้ เพราะว่าเห็นครอบครัวเขามีความสุขกินข้าว พ่อแม่ลูก แต่เรากำลังแตกทุกอย่าง พร้อมลูกที่บ้านก็อยู่อีกสามคนจ้างเขาเลี้ยง นี่ก็เพิ่งจะสองขวบนอนอยู่ข้างหลังเวที น้องๆช่วยกันพัด ผมรู้สึกว่าเราผิด อันนี้ไม่ใช่
เรื่องดีเลย แต่ละเรื่องเนี่ย ที่พูดให้ฟังคือเหมือนเป็นวิทยาทานสอนถ้ายังหลายใจอยู่ ว่ามันไม่มีความสุขที่แท้จริง เมื่อคุณมีคนใหม่คุณคิดว่ามีความสุขแล้วมันเป็นอะไรที่เราถูกใจ เรามีความสุขกับตรงนี้ เป็นสุขที่ชั่วคราวแต่เป็นมันความเศร้าที่ยาวนาน เอ๋ ยังบอกอีกว่า ตอนนั้นเราคิดไม่เป็น เราไม่คิดว่าชีวิตน้อยๆ มันต้องดูแลกว่าจะเรียนจบ
ทำงาน มันไม่ได้หมดเงินแค่หมื่น สองหมื่น หรือแสนสองแสน ซึ่งแต่ละคนที่ทำมามันก็สร้างภาระให้กับตัวผมเอง ถามว่าผมทุกข์ใจไหม ทุกข์ใจมาก แต่เราก็ต้องแบก เพราะเราเป็นคนทำ ตอนนั้นลำบากบาก ด้วยลูกเริ่มเรียน แล้วภรรยาไม่ได้ทำอะไร ภรรยาทุกคนไม่เคยทำงาน แล้วเราก็มีคนใหม่อีกเป็นคนที่ 6 ผมยังงงตัวเองเลยว่ากี่คน คนที่ 6 คือคนปัจจุบัน เขาอายุน้อยกว่าผม 17 ปี คนนี้เป็นคนที่ผมแต่งงานด้วย ทุกวันนี้ผมเลยคิดว่าผมมีภรรยาเดียวอยู่กับคนนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าอันนี้คือใช่ ความสุขที่แท้จริงคือครอบครัว