สู้เพื่อลูก ทำขนมทองม้วนขาย เลี้ยงลูกดาวน์ซินโดรม ยอมได้แม้ต้องกินข้าวกับเกลือ

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา พาคุณผู้ชมไปรู้จัก พ่อแม่สู้ชีวิต คู่หนึ่ง ซึ่งมีลูกสาวเป็นดาวน์ซินโดรม ความยากลำบากของครอบครัวนี้อยู่ที่การทำขนมทองม้วนขาย แต่ไม่มีที่ขาย รายได้จึงน้อย แม้มีงานรับจ้างอีกเล็กน้อย ก็ยังไม่เพียงพอต่อรายจ่าย การกินอยู่จึงขัดสน แต่ละมื้อมีเพียงข้าวและกับข้าว 1 ถุง เพื่อแบ่งกันกิน 3 ชีวิต

คุณพ่อบุญเลิศ และคุณแม่สมพิศ พุ่มวงษ์ อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดย่านคลองหลวง 14 (ซอยเนรมิตร) จ.ปทุมธานี กับน้องมิ้น ลูกสาว ซึ่งมีภาวะดาวน์ซินโดรม หรือบกพร่องทางสติปัญญา ขณะที่ลูกชายคนโตแยกไปมีครอบครัวแล้ว ก่อนมีน้องมิ้น พ่อแม่ต่างมีงานประจำทำทั้งสองคน โดยทำงานโรงงานเดียวกัน ด้วยความสงสารลูกคนโตที่ไม่มีเพื่อน เพราะบ้านอยู่ท้ายซอย จึงมีลูกอีกคน เพื่อจะได้เป็นเพื่อนกัน

แต่โชคร้ายมาเยือนโดยไม่คาดคิด เพราะหลังมีน้องมิ้นไม่เท่าไหร่ ทั้งพ่อและแม่ก็ตกงานพร้อมกัน เพราะโรงงานไปต่อไม่ไหว ต้องปิดกิจการ ซ้ำร้าย ลูกสาวที่เกิดมา ยังมีภาวะดาวน์ซินโดรมอีกด้วย! แม่ฝากครรภ์ปกติ พอคลอดมา อยู่ รพ.10 วัน หมอถึงแจ้งว่า น้องไม่ปกตินะแม่ น้องเป็นดาวน์ซินโดรม แม้จะเสียใจแค่ไหน ที่ลูกเกิดมาไม่ปกติ แต่เมื่อลูกเกิดมาแล้ว หัวอกพ่อแม่ก็พร้อมยอมรับ

ผลจากการตกงานทั้งคู่ บวกมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรม ซึ่งต้องดูแลตลอดเวลา ทำให้พ่อแม่ไม่สามารถออกไปหางานทำทั้งคู่ได้ เพราะคนหนึ่งต้องอยู่ดูแลลูก พ่อจึงเป็นฝ่ายออกไปหางานทำ แม้จะได้งาน แต่รายได้ก็แทบไม่พอสำหรับ 3 ชีวิต ด้วยความรักและห่วง กลัวลูกไม่มีกิน พ่อถึงกับยอมกินข้าวกับเกลือ

เช้าไปทำงาน ผมจะเอาข้าวจาน น้ำ แล้วเอาเกลือใส่ กินตอนเช้า เป็นเวลาปีกว่า (ถาม-ทำไมเราต้องทำถึงขนาดนั้น?) เพราะเราต้องเก็บไว้ซื้ออาหารให้ลูก หลังจากพ่อทำงานได้ไม่เท่าไหร่ ก็ตกงานอีกครั้ง แม่จึงเป็นฝ่ายออกไปหางานบ้าง แล้วให้พ่ออยู่บ้านดูแลลูก ซึ่งแม่ได้งานเป็นแม่บ้านตามห้าง แต่ต่อมา แม่มีปัญหาสุขภาพและตรวจพบเนื้องอก จึงต้องผ่าตัด หลังจากนั้น แม่ก็หมดโอกาสทำงานประจำทันที

พอเราไปสมัครงาน คุณผ่าตัดมาแล้ว เราไม่แข็งแรง เขาไม่รับทำงานแล้ว จากนั้นแม่ก็ทำงานประจำไม่ได้ เลยมารับจ๊อบตามหมู่บ้าน รับจ้างทำความสะอาด เดือนหนึ่งเขาให้ไปทำงานแค่ 3 วันเท่านั้นเอง เท่ากับเดือนหนึ่งมีรายได้ 1,500 บาท ขณะที่พ่อมีแค่งานรับจ้างรดน้ำต้นไม้ กวาดสำนักงาน ให้กับเจ้าของที่ดินที่บ้านพ่อกับแม่อาศัยอยู่ โดยได้ค่าตอบแทนเดือนละ 3,000 บาท แม้จะไม่มาก แต่พ่อถือว่า ทำงานให้กับผู้มีพระคุณ และทำด้วยความเต็มใจ

ทุกวัน หลังปั่นจักรยานออกมาทำงานรดน้ำต้นไม้แล้ว พ่อจะกลับไปทำขนมทองม้วนที่บ้าน ซึ่งทองม้วนของพ่อน้องมิ้นเป็นสูตรโบราณ รสชาติอร่อย และกลมกล่อม แม้ทองม้วนจะดูเหมือนเป็นอาชีพหลักของพ่อแม่ แต่ด้วยความที่บ้านอยู่ท้ายซอย จึงไม่มีใครรู้ว่าบ้านนี้ทำทองม้วน เมื่อไม่มีใครเห็น จึงขายได้น้อยมาก

สมมุติว่าบ้านแม่อยู่ในหมู่บ้าน เขาผ่านไปผ่านมา โห! ขนมหอมจัง และเราสามารถติดป้ายว่าบ้านนี้ทำทองม้วนนะ ใครสัญจรไปมา เขาสามารถซื้อได้ อันนั้นแม่ว่า แม่อยู่ได้แน่นอน แต่ทุกวันนี้แม่อยู่ก้นบึ้งของซอย ไม่มีใครเห็น นอกจากเขาจะเห็นจากที่เราไปฝากร้านค้าเขาขาย ซึ่งมันน้อยมากๆ

ไม่ใช่แค่ไม่มีที่ขาย ยังเจอคำพูดให้ช้ำใจ!! ทุกวันนี้จะฝากทองม้วนให้ร้านค้าเฉพาะที่รู้จักกัน ถ้าไม่รู้จักกัน เราไปเสนอ รับทองม้วนไหมคะ เขาจะบอกว่า ไม่เอาค่ะ รักษายาก แตกง่าย แม่ก็น้ำตาร่วงกลับบ้าน รายได้น้อย กินอยู่อัตคัดขัดสน!! แต่ละเดือน เมื่อรวมรายได้ทั้งของพ่อที่รับจ้างรดน้ำต้นไม้ และแม่รับจ้างทำความสะอาด รวมกับรายได้จากการขายทองม้วนแล้ว ได้แค่ประมาณ 5,000 กว่าบาท เท่ากับวันหนึ่งมีรายได้รวมแล้วไม่ถึง 200 บาท หากทองม้วนขายไม่ได้ ก็จะยิ่งแย่กว่านี้ อดถามพ่อกับแม่ไม่ได้ว่า อยู่กันยังไง 3 ชีวิต?

เราก็กินอย่างประหยัด ตอนเช้าเราซื้อแกงถุงหนึ่ง เรากินกัน 3 คนพ่อแม่ลูก แล้วถ้าแม่ไปทำงานแม่บ้านวันนั้น แม่ก็จะแวะซื้อก๋วยเตี๋ยวให้น้องมิ้นถุงหนึ่ง แล้วแม่ก็กลับมากินกับข้าวถ้วยนั้นที่ซื้อไว้ตอนเช้า และประมาณบ่ายๆ แม่จะซื้อกับข้าวมา 2 ถุง เพื่อเป็นมื้อเย็นและมื้อเที่ยงให้พ่อ ที่แม่ไม่ซื้ออะไรมาทำกับข้าวเอง เพราะต้องใช้เงินมากกว่าซื้อกิน สู้เราซื้อกับข้าววันหนึ่ง แกง 3 ถุง เราต้องอยู่ให้ได้ 3 มื้อ (ถาม-ใช้ชีวิตแบบนี้นานแค่ไหนแล้ว?) 3 ปี

ไม่ใช่แค่การกินอยู่ที่ขัดสน แม้แต่บ้านที่อยู่อาศัยมา 30 ปี ก็ทรุดโทรม หลังคาบิดๆ เบี้ยวๆ และมีรูรั่ว เวลาฝนตก ต้องเอากะละมังมารองน้ำที่รั่ว ขณะที่ลูกชายคนโต ซึ่งแยกไปมีครอบครัวแล้ว ก็ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะช่วยเหลือพ่อแม่ได้มากนัก เพราะมีภาระต้องหาเลี้ยงครอบครัวตนเอง

แม้ไม่อยากใช้เงินผู้พิการของลูกสาวที่เป็นดาวน์ซินโดรม เพราะอยากเก็บเงินส่วนนั้นไว้ให้ลูกได้ใช้ยามพ่อแม่ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ บางเดือนเงินแม่ก็ไม่มี เงินพ่อก็ยังไม่ออก เงิน(เบี้ยพิการ)น้องมิ้นก็ไม่มี (ถาม-แล้วผ่านพ้นชีวิตตรงนั้นยังไง?) มีอะไรพอกินได้ก็กินไปก่อน เดี๋ยวแม่ไปทำงาน ก็คงได้เงินมาซื้อกับข้าว วันนี้ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้หาใหม่ เผื่อมีลูกค้าโทรมาสั่งทองม้วน รอลูกค้า …บางครั้งไม่มีกับข้าว เราก็เซ็นร้านค้า

เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทำงาน แล้วมาจ่ายนะคะ (เป็นอย่างนี้บ่อยไหม?) บ่อยค่ะ (ถาม-ท้อไหมกับการมีชีวิตที่ต้องเผชิญกับความขัดสนอยู่อย่างนี้?) เคยท้อ แต่พอนึกถึงน้องมิ้น เราต้องอยู่ให้ได้ และนึกถึงคนที่เขาลำบากกว่าเราก็น่าจะมี แม่เลยอยู่ได้ แม้น้องมิ้นจะเป็นดาวน์ซินโดรม แต่น้องก็ชอบช่วยพ่อแม่เตรียมวัตถุดิบในการทำทองม้วน เช่น ตอกไข่ใส่แป้ง ช่วยหยิบจับยกสิ่งของ ติดสติ๊กเกอร์ที่ถุงใส่ทองม้วน ฯลฯ แม้ขณะนี้สุขภาพของน้องมิ้นจะแข็งแรงดี แต่น้องต้องกินยาไทรอยด์ตลอดชีวิต

ขณะที่สุขภาพของพ่อ ซึ่งต้องนั่งปิ้งนั่งพับขนมทองม้วน หน้าเตาร้อนๆ เป็นเวลานาน ทำให้พ่อมีอาการปวดหลังเรื้อรัง และเริ่มส่งสัญญาณปวดร้าวและชามาถึงขา ซึ่งดูแล้วน่ากังวล! นั่งทำขนมมาก ปวดหลังสุดๆ เลย แต่ก็ทนเอา (ถาม-มีอาการชาลงขาบ้างหรือยัง?) มี ข้างขวา วันนั้นเมื่อเดือนที่แล้ว เดินไม่ได้ ต้องคลาน ปวดสุดๆ เลย ตื่นเช้ามาต้องคลาน ค่อยๆ คลานไป

แม้ปวดหลังแค่ไหน แต่พ่อก็ไม่อยากไปหาหมอ ไม่ใช่แค่เป็นคนกลัวเข็ม แต่เสียดายตังค์ที่จะต้องหมดไปกับค่ารักษา อยากเก็บไว้ใช้ในสิ่งจำเป็นมากกว่า และกลัวว่า ถ้ารักษาหรือต้องพักฟื้น จะไม่สามารถทำทองม้วนได้ ก็จะไม่มีรายได้เลี้ยงลูก ถ้าผมต้องรักษาหรือพักฟื้นนานๆ กระทบแน่นอน ไม่มีใครทำขนมทองม้วนได้ แฟนผมทำได้ แต่จะเสียเยอะ เพราะทองม้วนต้องใช้ความเร็วในการทำ เขาเคยทำแล้วเสียเป็นกระป๋องๆ เลย

ขณะที่แม่ซึ่งมีปัญหาเรื่องความดันและเหนื่อยง่าย ก็ได้แต่หวังว่า ตัวเองจะต้องแข็งแรง และทำงานไหวทุกวัน อยากทำงานได้เยอะๆ ขายขนมได้เยอะๆ เพื่อจะได้พออยู่พอกิน และพอมีเงินเก็บไว้ดูแลลูก ให้ลูกได้มีใช้ในวันที่ไม่มีพ่อแม่แล้ว หากท่านใดอยากช่วยอุดหนุนขนมทองม้วนของคุณพ่อคุณแม่น้องมิ้น โทร.ไปได้ที่ 080-920-6743 หรือหากต้องการช่วยเหลือทุนปัจจัยในการดำรงชีพ สามารถโอนไปได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี นางสมพิศ พุ่มวงษ์ เลขที่บัญชี 068-886-7592

ที่มา: ฅนจริง ใจไม่ท้อ, สมพิศ พุ่มวงษ์

About the author

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *