เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2565 มีรายงานเข้ามาว่าใ จ.ระยอง แม้จะถือได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีความเจริญระดับต้นๆ ของประเทศ แต่ยังกลับมีครอบครัวฐานะยากจนรายได้น้อย ภาครัฐไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแบบเป็นรูปธรรม ทำให้ครอบครัวกำลังเผชิญมรสุม ทั้งความจนขาดรายได้จุนเจือครอบครัว หน้ำซ้ำยังเป็นผู้ป่วยโรคไต พิการสายตามองไม่เห็น ใช้ชีวิตรันทดแสนยากลำบาก มีเพียงลูกสาว 2 คน คอยดูแลไปตามยถากรรม ในชุมชนแม่น้ำคู้เก่า หมู่ 1 ต.แม่น้ำคู้ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง
จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบครอบครัวนางคมารักษ์ หรือดิน แสงอภัย อายุ 47 ปี ชาว จ.ระยอง ที่อาศัยอยู่ในบ้านปูนหลังเล็กๆ สภาพเก่าในสวนหลังบ้านของพี่สาว เมื่อไปถึงพบนางคมารักษ์ คนพิการตาบอด ขาซ้ายขาด นอนอยู่ในเปลผ้าใบเก่าๆ ขาดชำรุด มี น.ส.อรุณรุ่ง หรือน้องปลาย ทองมูล อายุ 17 ปี และ ด.ญ.ปิ่นกมล หรือน้องปิ่น ทองมูล อายุ 9 ขวบ คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
นางคมารักษ์ เปิดเผยว่า แต่ก่อนใช้ชีวิตอยู่กินกับนายชวลิตร ทองมูล อายุ 49 ปี พ่อเด็กช่วยกันทำมาหากินมีลูกด้วยกัน 3 คน คนโตเป็นผู้ชาย มีครอบครัวย้ายออกไปแล้ว เหลือลูกสาว 2 คน ยังเรียนหนังสืออยู่ โดยอาศัยบ้านหลังเล็กๆ ของพี่สาวซึ่งปลูกอยู่หลังบ้านเป็นที่พัก ต่อมาปี 2546 ตรวจพบว่าเป็นโรคไต เลือดจาง ความดัน เส้นเลือดหัวใจตีบ และเป็นเบาหวานจนต้องตัดขาซ้ายทิ้ง
ทำให้ชีวิตเริ่มลำบากต้องหยุดงานเพราะต้องรักษาตัว เหลือสามีคนเดียวที่ต้องหารายได้มาใช้จ่ายในบ้าน แต่เป็นรายได้แบบรายวัน ทำให้เงินทองไม่พอใช้ ทั้งที่ได้รับความอนุเคราะห์จาก อบต.แม่น้ำคู้ ที่ช่วยเหลือไปรับไปส่งโรงพยาบาลเพื่อฟอกไตวันเว้นวัน แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องมีญาติคอยดูแลติดตามไปด้วย ทำให้ลูกสาวทั้งสองต้องสลับกันขาดเรียมไปเป็นเพื่อน เพื่อเดินเรื่องเอกสาร และรับยาให้
นางคมารักษ์ เปิดเผยอีกว่า ที่ผ่านมายังมีทาง อบต.แม่น้ำคู้ ช่วยเข้ามามอบถุงยังชีพ ทางสาธารณสุขอำเภอเข้ามาตรวจสุขภาพส่วนทาง พม.จังหวัดระยอง เคยเข้ามาสอบถามเรื่องบ้านพักอาศัย แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเป็นบ้านพี่สาว จากนั้นเรื่องก็หายเงียบไปยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาช่วยเหลือแบบเป็นรูปธรรม
แต่อย่างไรก็ต้องขอขอบคุณนายกฤษดา โชติวานิชกุล นายก อบต.แม่น้ำคู้ ที่ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือเรื่องการเดินทางมารักษาที่ รพ.ระยอง นอกจากนี้ยังอยากขอขอบคุณประชาชนที่ทราบเรื่องราวของครอบครัวตน ที่แวะนำสิ่งของเครื่องใช้มาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจกัน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย
ด้าน น.ส.อรุณรุ่ง ลูกสาวคนโต เปิดเผยว่า กำลังศึกษาอยู่โรงเรียนปลวกแดงวิทยาคม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผลการเรียนเฉลี่ย 4.00 และยังมีความสามารถด้านการร้องเพลง เคยชนะเลิศร้องเพลงลูกกรุงกับพระราชนิพนธ์ระดับชาติ 2 ปีซ้อน แต่ทุกวันนี้ชีวิตค่อนข้างลำบาก พ่อมีอาชีพรับจ้างทั่วไปหารายได้จุนเจือครอบครัวคนเดียว ที่พักอาศัยก็คับแคบตนต้องไปอาศัยนอนอยู่บ้านยาย
เพราะบ้านเล็กมีเพียงแต่พ่อแม่และน้องสาวอาศัยอยู่เท่านั้น บางครั้งต้องขาดเรียนสลับกับน้องสาว พาแม่ไปหาหมอ ฟอกไตที่ รพ.ระยอง ระยะทาง 50 กิโลเมตร เดินทางไปกลับรอหมอต้องใช้เวลาเป็นวัน ซึ่งแม่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งด้านสายตา การเดินเหิน ต้องนั่งรถเข็น และยังต้องช่วยกันเปลี่ยนแพมเพิสเช็ดตัวทำความสะอาด
ยิ่งต้องเป็นห่วงแม่มากไม่ยากทอดทิ้ง กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ ความกตัญญูของลูกสาวทั้ง 2 คนนั้น เป็นแรงใจสำคัญยิ่งกว่าอื่นใด ที่ทำให้ชีวิต นางคมารักษ์ ผู้เป็นแม่ให้ผ่านมรสุมหรือโรคร้ายที่ถาโถมเข้ามาทั้งที่กัดฟันสู้กันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ชีวิตรอดพ้นจากเรื่องเลวร้ายไปได้วันต่อวัน